ตำรวจไซเบอร์รวบนายหน้าประกันแสบ ซื้อ-ขายข้อมูลประชาชน พบข้อมูลหลักแสนรายชื่อ ขยายผลดำเนินคดีกลุ่มผู้กระทำผิดเพิ่มเติม

ตำรวจไซเบอร์รวบนายหน้าประกันแสบ ซื้อ-ขายข้อมูลประชาชน

พบข้อมูลหลักแสนรายชื่อ ขยายผลดำเนินคดีกลุ่มผู้กระทำผิดเพิ่มเติม

.

ตามนโยบายของรัฐบาล ฯพณฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี , นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่ให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกรูปแบบ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก รวมถึงการแก้ไขปัญหาการหลุดรั่วของข้อมูลประชาชน ตลอดจนการซื้อขายข้อมูลประชาชน นั้น

.

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการเร่งด่วนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มผู้กระทำผิดในการซื้อขายข้อมูลประชาชน กระทั่งช่วงประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 5 กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ทำการสืบสวนจับกุมกลุ่มบุคคลที่มีการแสวงหาประโยชน์ มิชอบจากการซื้อ-ขาย ข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลอื่นเป็นจำนวนมากผ่านกลุ่มโซเชียลมีเดียเฉพาะกลุ่ม (Dark Web) ให้กับ กลุ่มมิจฉาชีพในการหลอกลวงประชาชน (แก๊ง Call Center และ เว็บพนัน)

.

โดยได้สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนทราบว่า นายอรรณพฯ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี ประกอบอาชีพเป็นนายหน้าประกันมีส่วนร่วมในการซื้อขายข้อมูลประชาชนจากกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมดำเนินคดีแล้ว จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานจนศาลได้อนุมัติหมายจับบุคคลดังกล่าว ในความผิดตาม พรบ.คุ้มครองส่วนบุคคล และ พรบ.คอมพิวเตอร์ ตามหมายจับศาลอาญาที่ 59/2567 ลงวันที่ 5 ม.ค.67 กรณีซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลให้บุคคลอื่น

.

จนกระทั่งต่อมาในวันที่ 11 มกราคม 2567 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน บก.สอท.5 ได้เข้าทำการตรวจค้นจับกุมนายอรรณพฯ ตามหมายค้นศาลอาญาธนบุรี ได้ที่บ้านพักในพื้นที่เขตทุ่งครุ กทม. และตรวจยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่พบพยานหลักฐานในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่ซื้อขายมาจากบุคคลอื่นโดยมิชอบ เพื่อนำมาแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว

.

สอบถามนายอรรณพฯ ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ยอมรับว่าตนเองประกอบอาชีพนายหน้าประกันของบริษัทแห่งหนึ่ง ได้รู้จักนายวีรทัศน์ฯ (ผู้ต้องหาที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้ในความผิดเดียวกัน) โดยซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลมาเพื่อใช้ในการดำเนินการติดต่อหาลูกค้ามาเพื่อทำประกันต่างๆ โดยจะรับซื้อขาย แลกเปลี่ยน ข้อมูลส่วนบุคคล ในราคารายชื่อละ 50 สตางค์ ถึง 75 สตางค์ ซึ่งแต่ละครั้งจะมีการซื้อขายข้อมูลหลักแสนรายชื่อ จากนั้นผู้ต้องหาจะนำข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้เพื่อดำเนินการขายต่อข้อมูลที่ตรวจสอบแล้วเพื่อรับกำไรส่วนต่าง หรือใช้ในการประกอบอาชีพของตนเอง โดยจะได้รายได้จากการขายข้อมูลต่อครั้งละ 20,000 – 40,000 บาท จากนั้นจึงได้นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.5 ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

.

โดยการปฏิบัติการจับกุมผู้กระทำผิดในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส) โดย พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผอ.สำนักตรวจสอบและกำกับดูแล, PDPC Eagle Eye และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย PDPA ร่วมตรวจสอบขยายผลเพื่อดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดตาม พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ให้ครบถ้วนทั้งตัวผู้กระทำผิดและแหล่งข้อมูลที่รั่วไหลเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนมิให้ตกไปในมือของมิจฉาชีพ

.

ทั้งนี้ บช.สอท. มีความห่วงใยข้อมูลส่วนบุคคลของพี่น้องประชาชนที่อาจมีการรั่วไหลไปยังกลุ่มมิจฉาชีพเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการหลอกลวง อันเป็นภัยร้ายที่ทางรัฐบาลเร่งปราบปรามอย่างจริงจัง อีกทั้งย้ำเตือนให้กลุ่มบุคคลใดที่มีพฤติกรรมในการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนนั้นมีโทษที่รุนแรง ซึ่งเป็นความผิดตาม พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2565 และ ความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มีโทษปรับ และโทษจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ

.

หากประชาชนมีข้อสงสัย หรือได้รับความเดือดร้อน สามารถแจ้งข้อมูลและติดต่อสอบถามได้ที่สายด่วน 1441 และ www.thaipoliceonline.go.th ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

.

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5, พ.ต.อ.ฐาปกรณ์ หนุมาศ ผกก.3 บก.สอท.5, พ.ต.ท.ปฐมพงศ์ มีอยู่, พ.ต.ท.ธัชพล ประจักส์จิตต์ รอง ผกก.3 บก.สอท.5 สั่งการให้ พ.ต.ท.มนัส นิลกรรณ์ สว.กก.3 บก.สอท.5 พร้อมชุดสืบสวนร่วมกันตรวจค้นจับกุม

.

#ตำรวจไซเบอร์ #สอท #จับกุม #ซื้อขายข้อมูล #ข้อมูลส่วนบุคคล

#ตำรวจไซเบอร์  #CCIB